ใบความรู้ที่ 1 ชุดที่ 1 เรื่อง นาฏยศัพท์ (ที่มาของนาฏศิลป์ไทย)
ใบความรู้ที่ 1
ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความเป็นเอกราชมาช้านาน มีศิลปวัฒนธรรมแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ
จนเป็นที่ชื่นชอบของนานาประเทศที่ได้พบเห็นความงดงามในศิลปวัฒนธรรมไทย
แม้ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังได้รับอิทธิพลทางด้านวัฒนธรรม จากต่างชาติกันหลากหลายที่กำลังหลั่งไหลเข้ามามีบทบาทในสังคมไทย แต่สิ่งหนึ่งที่คนไทยยังสามารถอนุรักษ์และสืบทอดได้จนถึงทุกวันนี้คือ นาฏศิลป์ อันเป็นศิลปะประจำชาติที่คนไทยทุกคนควรอนุรักษ์และให้การสนับสนุน
เพื่อให้ศิลปะแขนงนี้ดำรงอยู่สืบไป ในอนาคต
ความหมายของคำว่า
“นาฏศิลป์”
นาฏศิลป์ มาจากคำว่า “นาฏ” กับคำว่า “ศิลปะ”
นาฏ คือ การร่ายรำและการเคลื่อนไหวไปมา
ศิลปะ คือ การแสดงออกมาให้ปรากฏขึ้นอย่างงดงาม
น่าพึงชมก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ
เมื่อนำทั้งสองคำมารวมกันมีผู้ให้ความหมายต่าง ๆ กัน
ดังนี้
นาฏศิลป์ คือ ศิลปะแห่งการละครหรือการฟ้อนรำ
นาฏศิลป์ คือ การฟ้อนรำ
นาฏศิลป์ คือ ความช่ำชองในการฟ้อนรำ
นาฏศิลป์ คือ การร้องรำทำเพลง ให้ความบันเทิงใจ อันประกอบด้วยความโน้มเอียงแห่ง
อารมณ์และความรู้สึก
สรุปได้ว่า “นาฏศิลป์” คือ ศิลปะการร้องรำทำเพลงที่มนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์โดยประดิษฐ์ขึ้นอย่างประณีตและมีแบบแผน
ให้ความรู้ความบันเทิง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ยังคงให้เห็นถึงวัฒนธรรมความรุ่งเรืองของชาติได้เป็นอย่างดี
ความสำคัญของนาฏศิลป์
นาฏศิลป์
เป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าศิลปะแขนงอื่นๆ ความสำคัญของนาฏศิลป์มีดังนี้
1. นาฏศิลป์
แสดงความเป็นอารยประเทศ บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองดีก็ด้วยประชาชนมีความเข้าใจศิลปะ
เพราะศิลปะเป็นสิ่งมีค่าเป็นเครื่องโน้มน้าวอารมณ์ ให้ไปในทางที่ดีเป็นแนวทางนำให้คิด และให้กำลังใจในการที่
จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่บ้านเมืองสืบไป
2. นาฏศิลป์เป็นแหล่งรวมศิลปะ
ประกอบด้วยศิลปะประเภทต่าง ๆ มาเกี่ยวข้องสอดคล้องกัน เช่น
ศิลปะการ
เขียน การก่อสร้าง
การออกแบบ เครื่องแต่งกาย และวรรณคดี
ศิลปะแต่ละประเภทได้จัดทำกันด้วยความประณีต
สุขุม ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยศิลปะเป็นส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งของชาติมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาต้องมีศิลปะของตนไว้เป็น
ประจำ นับแต่โบราณมาจนถึงทุกวันนี้
รวมความว่า นาฏศิลป์มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกันทั้งสิ้น
สร้างความเป็นแก่น
สารให้แก่บ้านเมืองด้วยกันทั้งนั้น
การเกิดนาฏศิลป์
นาฏศิลป์ หรือศิลปะแห่งการแสดงละครฟ้อนรำนั้นมีมูลเหตุที่เกิด
ดังนี้
1. เกิดจากที่มนุษย์ต้องการแสดงอารมณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ให้ปรากฏ
โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการสื่อความหมายเป็นสำคัญเริ่มตั้งแต่
1.1 มนุษย์แสดงอารมณ์ตามธรรมชาติออกมาตรง
ๆ เช่น การเสียใจก็ร้องให้ ดีใจถูกใจก็ตบมือส่งเสียงหัวเราะ
1.2 เกิดจากการที่มนุษย์ต้องการเอาชนะธรรมชาติด้วยวิธีต่างๆ ที่นำไปสู่การรำเพื่อบูชาสิ่งที่ตนเคารพตามลัทธิศาสนาของตน ต่อมาจึงเกิดเป็นความเชื่อในเรื่องเทพเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิที่เราเคารพบูชา โดยเริ่มจาก การวิงวอนอธิษฐาน จนถึงสุดท้ายมีการประดิษฐ์เครื่องดนตรี ดีด
สี ตี และเป่า การเล่นดนตรี การร้องและการรำเกิดขึ้นเพื่อให้เทพเจ้า
เกิดความพอใจมากยิ่งขึ้น
1.3 เกิดจากการที่มนุษย์คิดประดิษฐ์หาเครื่องบันเทิงใจ หลังจากหยุดพักจากภารกิจประจำวัน
เริ่มแรกอาจเป็นการเล่านิทาน นิยาย มีการนำเอาดนตรี และการแสดงท่าทางต่าง ๆ ประกอบเป็นการร่ายรำ
จนถึงขั้นแสดงเป็นเรื่องราว
1.4 เกิดจากการเล่นเลียนแบบของมนุษย์
ซึ่งเป็นการเรียนรู้ในขั้นต้นของมนุษย์ นำไปสู่การสร้างสรรค์ศิลปะแบบต่าง
ๆ นาฏศิลป์ก็เช่นกัน จะเห็นว่ามนุษย์นิยมเลียนแบบสิ่งต่าง
ๆ ทั้งจากมนุษย์เองสังเกตจากเด็ก ๆ ชอบแสดงบทบาทสมมุติเป็นพ่อเป็นแม่ในเวลาเล่นกัน
เช่น การเล่นตุ๊กตา การเล่นหม้อข้าวหม้อแกง
หรือเลียนแบบจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ทำให้เกิดการเล่น เช่น การเล่นงูกินหาง การแสดงระบำนกยูง
ระบำม้า เป็นต้น
ความมุ่งหมายในการเรียนนาฏศิลป์
การเรียนนาฏศิลป์มีความมุ่งหมายดังนี้
1. เพื่อเป็นการปลูกฝังและส่งเสริมนิสัยทางศิลปะแก่ผู้เรียน
2. เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจยิ่งขึ้น
3. เพื่อเป็นการส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่สืบไป
4. เพื่อเป็นการฝึกให้รู้จักกล้าแสดงออก
ประโยชน์ในการเรียนนาฏศิลป์
การเรียนนาฏศิลป์ทำให้เกิดประโยชน์ดังนี้
1. ทำให้เป็นคนรื่นเริงแจ่มใส
2. มีความสามัคคีในหมู่คณะ
3. สามารถยึดเป็นอาชีพได้
4. ทำให้รู้จักดนตรีและเพลงต่าง ๆ
5. ทำให้เกิดความจำและปฏิภาณดี
6. ช่วยให้เป็นคนที่มีบุคลิกท่าทางเคลื่อนไหวสง่างาม
7. ช่วยในการออกกำลังกายได้เป็นอย่างดี
8. ได้รับความรู้นาฏศิลป์จนเกิดความชำนาญ สามารถปฏิบัติได้ดีมีชื่อเสียง
คุณสมบัติของผู้เริ่มเรียนนาฏศิลป์
การเรียนนาฏศิลป์ผู้ที่เริ่มเรียนควรมีคุณสมบัติดังนี้
1. ต้องมีความสนใจและตั้งใจจริง
2. ต้องทำใจให้รักและนิยมในศิลปะแขนงนี้
3. ต้องมีสมาธิแน่วแน่ในขณะปฏิบัติ
4. ต้องเป็นผู้ที่ช่างสังเกต
5. ต้องพยายามเลียนแบบครูให้มากที่สุด
6. ต้องเป็นผู้ที่ไม่ท้อถอยต่อความยากของบทเรียน
หรือความเมื่อยล้าที่เกิดขึ้น
7. ต้องเป็นผู้ที่ขยันในการทบทวนฝึกซ้อมท่ารำอยู่สม่ำเสมอ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น